BANANA
หากพูดถึงบรรดากล้วยทั้งหมดแล้ว กล้วยน้ำว้าคือ กล้วยที่ให้แคลเซียมสูงสุด และยังมีวิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 และวิตามินซีในปริมาณที่เท่ากัน สำหรับสารอาหารที่ทำให้กล้วยน้ำว้ามีความพิเศษมากกว่ากล้วยชนิดอื่นๆ คือ กล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งของโปรตีน กรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งสารทั้งหมดนี้ล้วนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก เรามักจะเห็นได้บ่อยว่าผู้ใหญ่มักบดกล้วยน้ำว้าให้เด็กๆ ทาน นั่นเพราะกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินมากมายที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งนี้ก็ควรระมัดระวังในเรื่องของการให้เด็กเล็กทานกล้วยน้ำว้าด้วยเช่นกัน เพราะบางครั้งอาจทำให้ติดคอได้ หากไม่มีความระมัดระวังมากพอ
คุณค่าทางโภชนาการของกล้วยน้ำว้า
ในส่วนของกล้วยน้ำว้า 100 กรัม ให้คุณค่าทางโภชนาการดังนี้
พลังงาน 122 กิโลแคลอรี, โปรตีน 1.2 กรัม, ไนอาซิน 0.6 มิลลิกรัม, วิตามินซี 14.0 มิลลิกรัม, คาร์โบไฮเดรต 26.1 กรัม, แคลเซียม 12.0 มิลลิกรัม, ไขมัน 0.3 กรัม, ฟอสฟอรัส 32.0 มิลลิกรัม, วิตามินเอ 375 หน่วยสากล, เหล็ก 0.8 มิลลิกรัม, วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม, วิตามินบี2 0.04 มิลลิกรัม, น้ำ 7.6 กรัม
ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า
ไม่ว่าจะเรียกกล้วยน้ำว้าว่ากล้วยนาก กล้วยหอมจันทร์ กล้วยมะลิอ่อง กล้วยสะกุย กล้วยเจก หรือกล้วยแลหก ตามแต่ละท้องถิ่นเรียกกันก็ตาม คุณประโยชน์และสรรพคุณทางยาของกล้วยชนิดนี้ก็ยังคงมากมายเหมือนเดิม มาดูกันว่ากล้วยน้ำว้าจะให้ประโยชน์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
1. แก้อาการนอนไม่หลับ
กล้วยน้ำว้าไม่ได้มีดีแค่เฉพาะบำรุงร่างกายเพียงเท่านั้น หากแต่ยังมีส่วนช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยลดอาการหงุดหงิดที่อาจเกิดขึ้นในยามเช้าโดยไม่มีสาเหตุ ลดอาการหงุดหงิดในสตรีที่อยู่ในช่วงวันนั้นของเดือน รักษาโรคซึมเศร้า และช่วยลดความเครียดได้ เนื่องจากสารอาหารอย่างเช่นโปรตีนชนิดที่เรียกว่า ทริปโตเฟน ที่อยู่ในกล้วยมีส่วนช่วยในการผลิตสารเซโรโทนิน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อฮอร์โมนแห่งความสุข และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทานกล้วยน้ำว้าแล้วจึงทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดีขึ้นได้
2. เป็นตัวช่วยในการเลิกบุหรี่
สำหรับใครที่กำลังอยู่ในช่วงเลิกบุหรี่ อีกหนึ่งวิธีที่อยากแนะนำก็คือ การทานกล้วยน้ำว้า เพราะการทานกล้วยน้ำว้า จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากมายอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินบี12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียม ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยทำให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวได้เร็วภายหลังจากการเลิกนิโคตินนั่นเอง
3. บรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
หากกำลังเผชิญกับการขับถ่ายออกเลือดหรือเป็นโรคริดสีดวงทวาร ขอบอกเลยว่ากล้วยน้ำว้าช่วยคุณได้ เพราะกล้วยน้ำว้ามีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการของโรคดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดอาการเสียดท้อง รวมถึงช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อกินกล้วยน้ำว้าเข้าไปก็จะทำให้อาการดีขึ้นได้
4. รักษาโรคโลหิตจาง
เนื่องจากในกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยธาตุเหล็กสูง จึงช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยในการรักษาภาวะโลหิตจาง รวมทั้งผู้ที่อยู่ในสภาวะที่ร่างกายขาดกำลัง
5. แก้อาการท้องเสีย
กล้วยน้ำว้าดิบจะให้รสชาติที่ฝาด ซึ่งมีฤทธิ์ในต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ โดยกล้วยน้ำว้าดิบจะออกฤทธิ์สมานแผลและช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเนื้อเยื่อเมือกในกระเพาะ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยเร่งการแบ่งตัวของเซลล์เยื่อเมือกด้วยสารสำคัญอย่างเช่นสารซิโตอินโดไซด์ ดังนั้นหากมีอาการท้องเสียแนะนำให้ทานกล้วยน้ำว้าแบบดิบ จะช่วยแก้อาการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
6. รักษาแผลในลำไส้
ในกล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยสารแทนนิน ซึ่งสารชนิดนี้มีส่วนช่วยรักษาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่รุนแรง และยังช่วยแก้อาการท้องผูกได้อีกด้วย ในส่วนของผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ ควรหมั่นทานกล้วยน้ำว้าเป็นประจำทุกวัน เพื่อช่วยรักษาแผลลำไส้ชนิดเรื้อรัง เพราะกล้วยน้ำว้านั้นมีสภาพเป็นกลางจึงไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร
7. ช่วยชะลอความแก่
เพราะสารต้านอนุมูลอิสระที่อุดมอยู่ในกล้วยน้ำว้านั้นมีส่วนช่วยชะลอความแก่ได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมบางคนอายุมากแล้ว แต่ยังแลดูอ่อนเยาว์ นั่นเพราะการทานกล้วยน้ำว้าเป็นประจำทุกวันนั่นเอง
8. ช่วยลดน้ำหนัก
กล้วยน้ำว้ามีส่วนช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้ จึงช่วยลดอาการอยากทานของจุบจิบอย่างได้ผล จึงไม่แปลกเลยว่าทำไมทานกล้วยน้ำว้าแล้วน้ำหนักจึงลดลง ในขณะที่ไม่ได้ปล่อยให้ท้องหิวหรืออดอาหารแต่อย่างใด
ไอเดียการกินกล้วยน้ำว้าเพื่อสุขภาพ
กล้วยน้ำว้า มีรสหวานอร่อย จึงมักจะถูกนำมาทำเป็นขนมหวานมากกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ มาดูกันว่ามีขนมอะไรบ้าง ที่มีกล้วยน้ำว้าเป็นส่วนประกอบ
กล้วยบวชชี เป็นเมนูลำดับต้น ๆ เลยที่มีการนำกล้วยน้ำว้ามาเป็นส่วนประกอบหลัก วิธีทำคือนำกล้วยน้ำว้าแบบไม่ปอกเปลือกไปต้มในน้ำ ประมาณ 4-5 นาที หรือจนกว่าเปลือกกล้วยจะแตกออก ตัดขึ้นมาจากน้ำ ปอกเปลือก แล้วหั่นครึ่ง หรือหั่นเป็นชิ้นพอดีคำไว้ จากนั้นให้ต้มกะทิกับใบเตยให้มีกลิ่นหอม ใส่กล้วยลงไป แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือ ใส่หัวกะทิอีกครั้ง ต้มต่อให้เดือดแล้วปิดไฟ
กล้วยน้ำว้าคลุกมะพร้าว เปลี่ยนกล้วยน้ำว้า ให้เป็นสแนคทานเล่นในช่วงบ่ายได้ง่าย ๆ ด้วยการนำกล้วยน้ำว้ามาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำพักไว้ นำมะพร้าวขูดมาคั่วให้เหลืองกรอบ แล้วนำมาคลุกกล้วยให้ทั่ว เสียบด้วยไม้จิ้มฟัน จะราดด้วยนมข้นหวานก็ช่วยเพิ่มความอร่อยไปอีกแบบ
แพนเค้กกล้วย เป็นเมนูที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ทานอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารคลีน เพียงแค่นำกล้วยน้ำว้าสุกงอมจัด 2-3 ลูกมาบดให้ละเอียดเหมือนอาหารเด็ก ใส่ไข่ขาวลงไป 1-2 ฟอง คนผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปหยอดลงบนกระทะที่ทาเนยไว้จนทั่ว เกลี่ยให้เป็นรูปวงกลมคล้ายกับแพนเค้กจริง ๆ พลิกให้สุกทั้งสองด้าน ราดด้วยน้ำผึ้ง หรือจะทานกับเนยก็ได้
นอกจากการนำมาประกอบอาหารแล้ว กล้วยน้ำว้าสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ทางยาได้อีกด้วย การทานกล้วยน้ำว้าวันละ 2 ผลจึงช่วยให้สุขภาพของเราดีขึ้นได้อย่างแท้จริง มาดูกันว่ากล้วยน้ำว้าสามารถรักษาโรคอะไรได้บ้าง ?
1.รักษาอาการโรคกระเพาะ การนำกล้วยน้ำว้ามาทานเพื่อรักษาโรคกระเพาะ เป็นวิธีที่ได้รับการบันทึกมาตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว วิธีการทานก็คือการเลือกกล้วยน้ำว้าที่กำลังอยู่ในช่วงห่าม (เปลือกยังมีสีเขียวอยู่บ้าง) ความฝาดของกล้วยในช่วงนี้ จะทำหน้าที่เป็นยาเคลือบกระเพาะ จึงช่วยให้อาการทุเลาลงได้
2.ช่วยลดกลิ่นปาก เมื่อตื่นเช้ามาก กลิ่นปากของเราจะไม่ค่อยน่าดูมากเป็นพิเศษ เนื่องจากน้ำลายไม่ได้มีการไหลเวียนอยู่ในช่องปากตลอดเวลา รวมถึงแบคทีเรียต่าง ๆ ก็จะก่อตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เราหลับ แต่ถ้าหากทานกล้วยน้ำว้าในตอนเช้า 1 ผล ก่อนแปรงฟัน กลิ่นปากจะลดลงโดยที่ไม่ต้องพึ่งน้ำยาบ้วนปากเลย
3.รักษาอาการท้องเสีย ท้องร่วง ผู้ที่มีอาการท้องเสีย และท้องร่วง ควรทานกล้วยน้ำว้าที่ยังดิบ หรืออยู่ในช่วงห่าม เพื่อให้สารแทนนิน และสารเพคตินในกล้วยไปทำหน้าที่ในการรักษาอาการของโรค ควรทานเพียง 1/2 - 1 ผล ก็เพียงพอ ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ให้ทานซ้ำอีกครั้ง
4.รักษาอาการเจ็บคอ ไอแห้ง ผู้ที่มีปัญหาไอ เจ็บคออย่างหนัก ทานยาเข้าไปอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ให้ทานกล้วยน้ำว้าวันละ 4-6 ลูก โดยที่จะแบ่งเป็นทานกี่ครั้งก็ได้ แต่ไม่แนะนำให้ทานครั้งเดียวเพราะอาจส่งผลให้เกิดการจุกเสียดและอาเจียนตามมา
5.ลดความหยาบกร้านของผิวหนัง อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกู้ผิวหยาบกร้านให้กลับมานุ่มและชุ่มชื่นได้อีกครั้งก็คือ การมาส์กผิวด้วยกล้วยน้ำว้า โดยนำกล้วยน้ำว้าสุกมาบดให้ละเอียด เติมน้ำผึ้งผสมเข้าไปประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน นำไปพอกบริเวณผิวที่มีความหยาบกร้าน ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วจึงล้างออก แค่นี้ก็ช่วยให้ผิวกลับมานุ่มชุ่มชื้นได้แล้ว
6.แก้ผื่นคันจากยุงกัด หากมีผื่นคันจากการถูกยุงกัด แนะนำให้ใช้เปลือกกล้วยมารักษา โดยใช้ด้านในของเปลือกมาทาบริเวณที่ถูกยุงกัด สังเกตได้ว่าวิธีนี้จะค่อยๆ ทำให้อาการคันลดลงไปได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ข้อควรระวัง !!!
การกินกล้วยน้ำว้าในปริมาณมาก โดยเฉพาะการทานกล้วยที่ยังอยู่ในช่วงห่าม อาจทำให้เกิดการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง
กล้วยน้ำว้า ให้พลังงานที่มากกว่ากล้วยชนิดอื่น ๆ (1 ผล = 100 แคลอรี่) การทานกล้วยน้ำว้าในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินความจำเป็น
กล้วยน้ำว้า มีฤทธิ์ช่วยในการระบายลำไส้ และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขับถ่าย หากทานติดต่อกันในปริมาณมาก อาจส่งผลให้เกิดการท้องเสีย
ใครที่ชอบทานกล้วยน้ำว้ามาก ๆ ก็อาจจะต้องพิจารณาถึงปริมาณที่ทาน เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี ส่วนใครที่ยังไม่ได้ทาน หรือไม่ค่อยจะชอบทาน ก็อยากให้ทานอย่างน้อยวันละ 1 ผล เพื่อที่จะได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นต่อไปในระยะยาว การทานกล้วยน้ำว้าที่ดีที่สุด ก็คือการทานผลสด ๆ จากเครือ จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน
No comments:
Post a Comment